เด็กเล็กจะมีความซนตามวัยเป็นธรรมชาติ
ยิ่งเป็นเด็กเล็กไม่เกิน 3 ขวบแล้ว มักจะชอบทำตัวเป็นนักสำรวจ ทดลองทำสิ่งต่างๆ ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง เมื่อโตขึ้นความซนก็จะลดน้อยลงไปตามขั้นและจะสมาธิจดจ่อมากขึ้น ทำอะไรที่ซับซ้อนได้มากขึ้นตามวัย
ถ้าโตขึ้นแต่ความซนดูจะยังไม่ลดลง เด็กน้อยมีความหุนหันผลันแล่น ชอบเล่นซนจนตัวเองเจ็บตัว เรียนไม่ได้ ฟังที่ครูพูดได้ไม่จบต้องคอยดูแลกันเป็นพิเศษ หรือต้องประกบติดตามกันตลอดเวลา นี่อาจจะเป็นสัญญาณให้ผู้ปกครองเริ่มสังเกตได้แล้วว่า ลูกอาจจะเข้าข่ายมีอาการซนแบบสมาธิสั้นหรือไม่
หากเข้าข่ายเป็นเด็กที่มีอาการซนแบบสมาธิสั้น ก็ต้องได้รับการดูแล และช่วยเหลือเพื่อให้เค้าได้เรียนรู้ตามวัยได้อย่างเหมาะสม และไม่เสียโอกาสในการเรียนรู้ตามลำดับขั้นของพัฒนาการ วิธีการที่จะช่วยเหลือเบื้องต้นมีหลายวิธี แต่วันนี้มาแนะนำวิธีที่ง่ายที่สุด และทุกบ้านน่าจะทำได้เลยก็คือ
- ปรับสภาพแวดล้อมที่บ้านให้เหมาะสม
- มองหาสิ่งที่เด็กๆชอบ และสนับสนุน
- พาไปทำกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ พัฒนาการ และฝึกฝนด้านสมาธิ
กิจกรรมเหล่านี้จะส่งเสริม และช่วยให้เด็กที่มีอาการซนแบบสมาธิสั้น หรือเข้าข่ายซนแบบสมาธิสั้นได้ใช้ประโยชน์จากการลงมือทำเพื่อจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานขึ้น มีสมาธิมากขึ้น และเมื่อได้ลงมือทำแล้วเด็กๆ ก็จะมีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
การหากิจกรรมที่ไม่ใช่กิจกรรมบนหน้าจอให้เด็กๆทำ เช่น ศิลปะ ดนตรี กีฬา เป็นสิ่งที่จะส่งเสริมพัฒนาการของเด็กๆ ทำให้สมองซีกขวาเติบโตไปพร้อมๆ กับสมองซีกซ้าย สร้างสมาธิ ทำให้จดจ่อกับงานได้ดี
ที่อาร์ตเฮ้าส์ ในคลาสจิตวิทยาศิลปะเด็ก เราใช้กิจกรรมศิลปะในการเชื่อมโยงระหว่าง เด็ก ครูผู้สอน และผู้ปกครอง มีการจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้เหมาะสมในเด็กแต่ละคนที่มีความต้องการในการเรียนรู้ต่างกัน เด็กๆจะได้บริหารความคิด อารมณ์ การกระทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย สร้างความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ผลักดันให้เด็กๆ มีความเชื่อมั่น กล้าคิด กล้าพูด กล้าลงมือทำ ไม่กลัวเมื่อต้องเผชิญกับปัญหา ความผิดหวัง หรืองานที่ยากลำบาก เรียนรู้เพื่อที่จะพัฒนาตนเอง ได้รับคำแนะนำจากผู้สอนโดยไม่ถูกตัดสินเรื่องความสวยงามของชิ้นงาน
เพราะเด็กทุกคนแตกต่างกัน เราจึงต้องปูพื้นฐานให้เด็กๆ ปรับพฤติกรรมในเชิงบวก เพื่อให้เด็กๆพร้อมที่จะเรียนรู้ และส่งต่อให้เด็กทุกคนได้พัฒนาตัวเองต่อไป
เขียนโดย Arthouse school
Comments