เมื่อปี 2015 ผลงานแฟชั่นของเยาวชนไทยได้มีโอกาสนำไปแสดงในงาน Digital Fashion Week
ที่ประเทศสิงคโปร์ และหนึ่งในเยาวชนไทยที่ได้มีโอกาสนั้นก็คือ
" มิ้นกี้ กฤติยา สิทธิภาพ หรือในนามปากกา Lamoon "
ศิษย์เก่าวิชาแฟชั่น artHOUSE ที่หลงใหลการประกวดเป็นชีวิตจิตใจ
อีกทั้ง มิ้นกี้ ยังเป็นหนึ่งในนักเรียนแฟชั่นที่พลาดหวังจากการสอบตรงเข้าคณะศิลปกรรม
สาขาแฟชั่น ของมหาวิทยาลัยรัฐบาล ซึ่งถ้าเมื่อเทียบกับนักเรียนคนอื่นๆแล้ว เมื่อพลาดหวังสอบไม่ติด
มักจะถอดใจและวางฝันในเส้นทางแฟชั่นของตัวเองลง และคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับแฟชั่น
ด้วยเหตุผลที่ว่า “เราสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติด” แต่ไม่ใช่กับเด็กผู้หญิงคนนี้
ด้วยความชัดเจน และความสามารถที่เธอมีอยู่ ทำให้เธอมั่นใจ และเดินผ่านช่วงเวลาแห่งความพลาดหวังนั้นมาได้ และมุ่งตรงเดินต่อในสายแฟชั่นในมหาวิทยาลัยเอกชน และใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้อย่างมี
ความสุข เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร ไปติดตามกันเลย
AMUNO : Update เรื่องการไปแสดงผลงานที่ประเทศสิงคโปร์หน่อย ทำไมถึงได้ไป
มิ้นกี้ : จุดเริ่มต้นคือมิ้นประกวดของโครงการ Star Fashion Search ค่ะ เป็นการประกวดหานักออกแบบ
รุ่นใหม่ ซึ่งมิ้นก็ผ่านเข้ารอบสุดท้ายที่จะต้องทำชุดจริง แต่ว่ารอบนี้มิ้นไม่ชนะ แต่เพราะเราเข้ารอบสุดท้ายทางทีมงานเขาก็เลยดึงตัวมิ้นไปแข่งอีกงานนึง ซึ่งงานนั้นก็คืองาน TIFA ค่ะ ตอนนั้นก็กลัวเหมือนกัน เพราะว่าไม่มีเด็กรุ่นเดียวมิ้นเลย แต่เป็นรุ่นพี่หรือไม่ก็เป็นผู้ใหญ่หมดเลย สรุปมิ้นเข้ารอบสองคนสุดท้าย
อีกคนที่เข้ารอบมาด้วยเป็นรุ่นพี่อยู่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มิ้นกับพี่คนนี้เราจะถนัดคนละด้านค่ะ
มิ้นจะถนัดในเรื่องของการ Design เรื่องการประยุกต์ใช้ technique ส่วนพี่เค้าจะถนัดเรื่องภูมิปัญญา
ซึ่งมันก็น่ากลัวตรงที่พี่เค้าเก่งเรื่องการทอผ้ามาก เพราะโจทย์ของการออกแบบรอบสองคนสุดท้ายก็คือ
“อัตลักษณ์ไทย” และพี่เค้าก็โตมากับท้องถิ่นที่มีการทอผ้าอย่างแท้จริง คะแนนตอนนั้นสูสีกันมากๆค่ะ
แต่สุดท้ายแล้วมิ้นก็ชนะ
ผลงานของเราก็ไปเข้าตาทีม งานของทางสิงคโปร์ค่ะ เพราะเขาก็ตามงานแข่งของ TIFA เหมือนกัน เพราะเป็นงานแข่งที่ค่อนข้างใหญ่ ทางสิงคโปร์เค้าต้องการดีไซเนอร์ในโซนเอเชียไปแสดงผลงานในงาน
Digital Fashion Week ค่ะ และมิ้นเป็นเด็กที่ได้รางวัลชนะในรุ่น Junior ก็เลยเชิญให้นำผลงานไปแสดง
“เราเอาเทคนิค สม็อค มาใช้ในงาน ซึ่ง สม็อค เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่คนไทยนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย รวมไปถึงงานแฟชั่น มีดีไซเนอร์หลายคนนำเทคนิค สม็อค ไปใช้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นในรูปแบบของงาน อาวองการ์ด (Avant-Garde งานที่ใช้จินตนาการ เกินจริง และสวมใส่ในชีวิตประจำวันไม่ได้ ) แต่สำหรับมิ้นนำไปใช้กับเสื้อผ้าที่ใส่ได้จริง ซึ่งมีน้อยคนที่จะทำมันก็เลยค่อนข้างที่จะแปลกตาค่ะ บวกกับใช้ผ้าไทยในการตัดเย็บ ด้วยทรงของผ้าไทยที่เป็นทรงตรงๆ เวลาใส่มันเลยดูแก่(วัยรุ่นเลยไม่ชอบใส่กัน) แต่มิ้นนำผ้าไทยมา สม็อค ให้ Silhouette มันดูบวมๆมันก็เลยทำให้งานของเรามีความน่าสนใจ ผสมกับเทรนด์แฟชั่นในช่วงนั้นเสื้อจั้มตัวใหญ่ๆกำลังฮิต แล้วมิ้นจับเทรนด์นี้มาทำมันก็เลยทำให้ทุกอย่างมันดูเสริมกัน เข้ากันไปหมด”
ทุกคนที่มาดูงานเค้าดู ประทับใจมาก มันก็ทำให้เราประทับใจไปด้วย ดีใจที่ทุกคนพูดถึงผลงานของคนไทย หลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาพูดคุยและขอ contact จากเรา
มิ้นรู้สึกประทับใจและภูมิใจ ประทับใจที่เราได้มีโอกาสดีๆ ได้เจอคนที่ดีๆ และภูมิใจที่เราเป็นคนไทย งานของเราก็เป็นงานที่แสดงออกถึงความเป็นไทย ผ้าที่ใช้ก็เป็นผ้าไทย ที่เรานำมาปรับใช้กับการออกแบบที่ทันสมัยได้เสน่ห์มันอยู่ตรงนี้ และทุกคนที่มาเค้าก็รับรู้ถึงความสามารถของเด็กไทย มิ้นเลยรู้สึกดีจนบางครั้งมันก็อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ต้องขอขอบคุณผู้ใหญ่ทุกท่านที่ให้โอกาสมิ้นมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
AMUNO : ทำไมเราถึงหลงใหลการประกวด
มิ้นกี้ : ถามว่าทำไม?..มิ้นก็ตอบได้ไม่ค่อยชัดเจนนะคะ
แต่จำได้เลยว่าตอนประถมทางบ้านอยากให้เราเป็นเด็กสายวิทย์ พวกแพทย์หรือไม่ก็ไปสายบริหารไปเลย แต่มิ้นจะเป็นเด็กที่ค่อนข้างแตกต่างจากทุกคนในบ้าน ตอน ป.1 ก็เริ่มเป็นเด็กประกวดศิลปะแล้ว ประกวดมาตลอด จนคุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มรู้สึกว่าเราต้องเป็นศิลป์แน่ๆเลย เหมือนท่านก็กลัวแล้วมาพูดกับเราตรงๆว่า “เรียนด้านนี้โตขึ้นหนูจะไปทำอาชีพอะไร” แล้วหนูก็ให้คำตอบไม่ได้เพราะตอนนั้นหนูก็ยังเด็ก เรารู้แค่ว่าเราชอบประกวด เราชนะ เราได้เงิน เราได้รางวัล เรารู้แค่นี้ ( AMUNO : แสดงว่าไม่ได้ประกวดในโรงเรียน?) ประกวดนอกโรงเรียนตลอดค่ะ งานแรกที่มิ้นประกวดก็ได้รับรางวัลพระราชทานจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต พระบรมราชินีนาถ เลยค่ะ ตั้งแต่นั้นมาเราก็เริ่มประกวดหลากหลายมากขึ้น เช่นสีน้ำ วาดภาพบนแผ่นกระเบื้อง มิ้นก็จะเข้ารอบ Top3 Top5 ตลอด ได้รางวัลตลอด
จนกระทั่งขึ้นมัธยมต้นเราก็ ยังคงประกวดอยู่ค่ะ มิ้นประกวดจนมันกลายเป็นนิสัยของมิ้นไปแล้ว ยิ่งโตขึ้นเรารู้สึกว่ามันยิ่งท้าทาย เพราะตอนประถมเราจะเจอเด็กที่มาแนวๆเรา เวลาแข่งทุกครั้งเราจะมีเซ้นที่บอกเราว่า “ต้องทำอย่างไรแล้วเราจะชนะเค้า” เราก็จะจับทางได้ตลอด แต่พอขึ้นมัธยม เราก็จะเจอเด็กอีกแบบหนึ่ง เช่นเรามาเจอคนที่ชอบเขียนลายไทย แล้วเราทำไม่ได้ เราก็เลยไปเรียนวาดลายเส้นไทยแล้วเอามาประยุกต์ใช้กับการเขียนภาพประกอบ เราก็เลยชนะ พอขึ้นมัธยมปลายเราเริ่มชัดเจนกับตัวเองแล้วว่าเราชอบงานแฟชั่น จากตอนแรกที่เรายังหาตัวตนเราไม่เจอ แต่รู้แค่ว่าเราชอบงานศิลปะ พอมีประกวดออกแบบเสื้อผ้าของพนักงานของระดับอุดมศึกษา เราก็ประกวดก็ชนะอีก ( AMUNO : แล้วเราเอาความรู้มาจากไหน?) ตอนนั้นมิ้นกำลังเรียน artHOUSE อยู่ค่ะ หลังจากนั้นก็เริ่มประกวดสายแฟชั่นแล้ว บวกกับตอนนั้นที่ artHOUSE ก็มีการประกวดด้วย (ซึ่งมิ้นคิดเอาเองนะคะว่ามันคือการประกวด) จะมีการตั้งรางวัลว่าถ้าใครได้ที่หนึ่งจะได้เรียนฟรี เราก็เลยจริงจัง เริ่มมีการแข่งขันกับตัวเองว่าทำยังไงเราจะชนะและได้รางวัล
AMUNO : ทำไมมิ้นถึงเลือกเรียนแฟชั่นในมหาวิทยาลัยเอกชน
ทั้งๆที่เราก็ติวมาอย่างหนักเพื่อที่จะไปสอบแข่งเข้ามหาวิทยาลัยรัฐบาล
มิ้นกี้ : ตอน นั้นมิ้นสอบได้ตัวสำรองอันดับสองของแฟชั่นจุฬาฯค่ะ ส่วนตัวจริงที่ติดไปก็เป็นเพื่อนๆที่ artHOUSE นี่แหละค่ะไม่ใช่ใครที่ไหน(หัวเราะ) พวกเราก็เหนื่อย ก็สู้มาด้วยกันตลอด ซึ่งเราก็รู้ๆกันว่าไม่มีเพื่อนคนไหนสละสิทธิ์แน่นอน ตอนนั้นก็รู้สึกอกหักอยู่เบาๆ
ส่วน ของ มศว. มิ้นก็สอบผ่านทุกรอบเลยค่ะ แต่มาตกม้าตายรอบสัมภาษณ์ ซึ่งมันก็เจ็บอยู่เหมือนตอนนั้น เพราะเราก็ทำเต็มที่มาตลอดทุกรอบ ตอนนั้นรู้สึกเคว้งมากๆเลยค่ะ เพราะมิ้นอยากได้แค่จุฬาฯกับมศว.ค่ะ
ที่อื่นมิ้นไม่ได้หวังเลย
แต่พอเริ่มได้สติก็มานั่งดู ผลสอบกับอะไรหลายๆอย่างที่เคยทำมาทั้งหมด แล้วมาประมวลทุกอย่างเข้ากันก็เลยตัดสินใจปรึกษาพี่บอส ว่ามิ้นควรเรียนที่ไหนดี มันพอจะมีทางไหนให้มิ้นไปได้บ้าง เพราะมิ้นรู้สึกว่ามิ้นยังอยากเดินทางสายนี้อยู่ พี่บอสเลยแนะนำให้มิ้นมาที่ มหาวิทยาลัยกรุเทพ เพราะพี่บอสรู้จักกับอาจารย์ รู้จักกับรุ่นพี่ และสไตล์งานของที่นี่ก็ดี สไตล์การเรียนการสอนก็ใกล้เคียงกับจุฬาฯ มศว. และใกล้เคียงกับ artHOUSE ด้วย ก็เลยกลับมาหาข้อมูล ซึ่งก็ครบแบบที่พี่บอสบอกไว้จริงๆ ก็เลยตัดสินใจมาเรียนที่นี่ ซึ่งก็ถือว่าพี่บอสจูงมือมิ้นมาส่งถูกทางจริงๆค่ะ เพราะมิ้นรู้ดีว่า ณ เวลานั้น พี่บอสเป็นคนที่รู้ดีที่สุดและเป็นคนเดียวที่จะแนะนำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับ มิ้นและเพื่อนๆมิ้นได้
แต่ด้วยความที่เราเรียนที่นี่ เพื่อนไม่ได้แข่งกันเรียน แต่เพื่อนช่วยกันเรียน ซึ่งมันเป็นข้อที่ดี แต่ข้อเสียของมันก็คือเราไม่มีอะไรมากระตุ้นให้เรารู้สึกต้อง Active ในการทำงาน และเวลาทำงานก็ไม่มีอะไรมากดดัน
มิ้นก็เลยกดดันตัวเองโดยการส่งงานประกวดเนี่ยแหละค่ะ(หัวเราะ)
AMUNO : มิ้นคิดว่าการเข้าไปเรียนแฟชั่นในมหาวิทยาลัยเอกชนที่ไม่ต้องสอบแข่งขัน
การติวแฟชั่นสำคัญไหม?
มิ้นกี้ : สำหรับมิ้นถือว่าสำคัญค่ะ
เพราะในมหาวิทยาลัยเอกชนจะปูพื้นใหม่ทั้งหมดเลย ดังนั้นสำหรับคนที่ไม่เคยรู้ว่าแฟชั่นเรียนอะไรบ้าง แฟชั่นเรียนหนักขนาดไหน หรือคิดแค่ว่าเรียนแฟชั่นมันต้องสวยแน่ๆ พอมาเจอของจริงเค้าตายกันไปเยอะ
แต่ มิ้นเรียนมาหมดแล้วทั้งทฤษฏี ประวัติศาสตร์ และการปฏิบัติ(อย่างเข้มข้น) จาก artHOUSE พอเราเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยมันดีตรงที่ทำให้เราชัดเจนมากกว่าคนอื่นๆ เหมือนเราเข้ามาเรียนด้วย Attitude ที่ค่อนข้างสูง ในเรื่องของความเครียดความกดดัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้บางคนอาจจะไม่ได้เตรียมใจหรือนึกไม่ถึงว่ามันจะหนักได้ขนาด นี้ แต่มิ้นเคยเรียนหนักมากที่ artHOUSE มาหมดแล้ว พอมาเรียนที่มหาวิทยาลัย งานหนักแค่ไหนก็สู้ตาย หรือบางครั้งที่อาจารย์อาจจะ Comment งานของเราแรงมาก มิ้นก็จะเข้าใจเลยว่าจริงๆแล้วอาจารย์ท่านหวังดี ไม่ได้พูดเพราะประชดหรือหมั่นไส้เรา
ในเรื่องของผลงาน มิ้นก็มีความมั่นใจแล้วก็กล้าที่จะเล่นกับการ Design มากกว่าคนอื่น เพราะบางคนที่เพิ่งมาเริ่มเค้าก็จะออกแบบในแบบที่อาจารย์สอน เค้าไม่กล้าเล่นกับงานเยอะ แต่สำหรับเราก็ที่สร้างสรรค์มันไปเลย พออาจารย์ถามเราก็กล้าที่จะตอบ และก็มีเหตุผลที่ชัดเจนให้กับคำถามนั้น ตรงนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้อาจารย์เค้าสนใจและก็อยากดันเราให้ไปได้ ไกลมากกว่านี้ มีงานประกวดอะไรเค้าก็จะมาบอกตลอด
ดังนั้นมิ้นมั่นใจเลยว่า นอกเหนือจากความรู้ทั้งหมดเรื่องแฟชั่น มิ้นได้อะไรจากการติวมาเยอะมากๆเลยค่ะ และมันนำมาใช้ในมหาวิทยาลัยได้จริงๆ ติวแฟชั่นจบที่ artHOUSE ไปก็แทบจะทำเสื้อผ้าขายได้แล้วจริงๆค่ะ(หัวเราะ)
AMUNO : ประกวดมาก็เยอะ เจอคนในวงการแฟชั่นมาก็หลากหลาย
มันทำให้ตอนนี้เราชัดเจนกับอนาคตของเราแล้วหรือยัง?
มิ้นกี้ : จากประสบการณ์ที่ผ่านมามันทำให้มิ้นคิดว่าจบออกมาทำแบรนด์ของตัวเองแน่นอนค่ะ
งาน ที่มิ้นชอบและงานที่มิ้นออกแบบมันเป็นงานที่คนไทยไม่ค่อยกล้าใส่ ยกเว้นกลุ่มที่แต่งตัวเยอะๆ หรือ Street Style แบบจ๋าๆหน่อยเค้าถึงจะซื้อ เป็นแบรนด์ที่เน้นส่งออกมากกว่าขาย ถ้าอยู่ในประเทศไทยก็อาจจะเป็นเสื้อผ้าที่ไม่ได้ mass กลุ่มลูกค้าก็อาจจะเป็นเด็กแฟชั่นจริงๆที่จะกล้าซื้อและกล้าใส่ ส่วนรายละเอียดอื่นๆขอยังไม่บอกตอนนี้ดีกว่าค่ะ
อีกทางนึงก็อยากเรียนต่อโท ค่ะ แต่คงไม่ได้มาสายแฟชั่นแล้วแต่จะเป็นสายการตลาด เป็น Digital Marketing ค่ะ ซึ่งมิ้นมีที่เรียนในใจแล้ว ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งก็ต้องดูก่อนว่าเรียนจบมาแล้วเราจะพร้อมไปในทางไหนก่อน
ติดตามผลงานและ Life Style ของมิ้นกี้ ได้ที่ Instagram
....................................................................................................
© Copy Right artHOUSE Institute, All Rights Reserved.
ไม่อนุญาติให้นำบทความไปดัดแปลง, เขียนใหม่, หรือนำไปเผยแพร่ในที่สาธารณะโดยไม่ใส่เครดิตหรือได้รับอนุญาติ