top of page

“the point of No Return” SHANGRILA แนน ญาณิศา จารุศิริ



แนน ญาณิศา จารุศิริ (นามปากกา Shang หรือ Shangrila) สาวน้อยศิษย์เก่า artHOUSE

ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 ภาควิชาออกแบบเครื่องแต่งกาย คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปกร

หลังจากติดตาม Instagram ของแนนมานานพอสมควรและได้เห็นการเจริญเติบโตของเด็กผู้หญิงคนนี้แบบก้าวกระโดด ทั้งผลงานด้านแฟชั่นของเธอ ที่เป็นที่รู้จักไปไกลถึงต่างประเทศ

รวมไปถึง Life Style ของเธอก็เป็นที่จับตามองอยู่ในขณะนี้

ด้วยเหตุนี้ เราจึงหาโอกาสนัดเจอเธอเพื่ออัพเดทชีวิต และแชร์เรื่องราว

ประสบการณ์ต่างๆที่เธอมีโอกาสได้สัมผัสมา

อะไรคือสิ่งที่ทำให้เธอหลงใหลในงานแฟชั่นและอะไรคือสิ่งที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย

ติดตามพร้อมๆกันได้เลย

 

เพราะอะไรแนนถึงชอบศิลปะและแฟชั่น?

“แนนโตมากับศิลปะค่ะ แนนเห็นคุณพ่อวาดรูปมาตั้งแต่เด็กๆ (คุณพ่อเรียนจบด้านศิลปะจากต่างประเทศ) เรารู้สึกว่าคุณพ่อเท่มาก เห็นเค้าวาดแนนก็อยากวาดบ้าง แล้วคุณพ่อชอบงานสไตล์ Maximalism และสไตล์ Renaissance ค่ะ ก็เลยนำสไตล์นี้มาตกแต่งบ้านด้วย ทุกมุมของบ้านจะมีเรื่องราวของงานศิลปะแฝงอยู่ทุกที่ ดังนั้นไม่ใช่แค่เห็นคุณพ่อวาดรูป แต่เวลาอยู่ที่บ้านมันเหมือนเราใช้ชีวิตประจำวันกับงานศิลปะเลยค่ะ

สักประมาณ ป.3 แนนเริ่มมีความคิดอยากเป็นดีไซเนอร์แล้ว จุดเริ่มต้นคือแนนชอบแฟชั่น punk rock ค่ะ บวกกับชอบสไตล์ของ วิเวียน เวสต์วูด (Vivienne Westwood) ด้วย มันก็เลยเข้ากันได้ พอช่วงประมาณ ป.5 แนนมารู้จัก อเล็กซานเดอร์ แม็กควีน (Alexander McQueen) สไตล์ของเขากับเราค่อนข้างไปด้วยกันได้ มันก็ยิ่งทวีความชอบแฟชั่นเพิ่มขึ้นไปอีก จากที่ชอบก็กลายเป็นหลงใหลแบบสุดๆไปเลยค่ะ มีความฝันว่าอยากเป็นดีไซเนอร์ให้เท่ากับแม็กควีน อยากเรียนแฟชั่นที่เซนต์มาร์ติน (Central Saint Martins) แล้วก็ลงเรียนคร์อสเดียวกับเขา (เรียกว่าเดินตามรอยพวกเขาเลย?)

ใช่ค่ะ เดินตามรอยเลยค่ะ”


เห็นแนนมีโอกาสได้ร่วมงานกับดีไซเนอร์ชาวต่างชาติด้วย จุดเริ่มต้นคืออะไร?

“อันนี้ต้องย้อนไปตอนประมาณ ม.4-ม.5 เลยค่ะ เป็นช่วงที่แนนเริ่มเล่น Instagram และเริ่มโพสงานศิลปะ ก็มียอด Follow เข้ามาเยอะ เราก็หลงอยู่กับตรงนั้น เพราะชีวิตจริงเราไม่ค่อยได้รับคำชมสักเท่าไหร่(หัวเราะ) แต่ว่าใน Instagram มีคนยอมรับงานเรา ชื่นชมงานเราและชื่นชมในตัวเรา เรามีความสุขมากกับการทำตั้งใจสร้างงานแล้วนำเสนอให้สังคมภายนอกได้เห็น อย่างน้อยคนในชีวิตจริงอาจจะไม่ได้ Follow เรา ก็ยังมีคนในโลก Social ที่ชื่นชมและรอติดตามเราอยู่ คอยเชียร์อัพเราอยู่ตลอดเวลา จากนั้นแนนก็อัพงานควบคู่กับการนำเสนอ Life Style ของเราไปด้วย คนก็เริ่มรู้จักเราเพิ่มมากขึ้น ก็มีดีไซเนอร์ชาวต่างชาติมาเจอ แล้วชวนแนนไปทำงานด้วยที่ต่างประเทศ

ทั้งๆที่ตอนนั้นเรายังเป็นแค่เด็ก ม.ปลาย!?

“ใช่ค่ะ มีคนมาติดต่อให้เราไปทำงานให้เค้าที่สิงค์โปเลยนะคะ เป็นคู่สามีภารยาอายุประมาณ 30 นิดๆ เป็นดีไซน์เนอร์แบรนด์ Wedding กึ่งโอต์กูตูร์ (Haute Couture) ค่ะ ซึ่งก็ใกล้เคียงกับสไตล์งานของแนน เค้าเอ็นดูเหมือนแนนเป็นลูกเค้าเลยค่ะ คุยงานง่าย เคยตกลงเรื่องราคากันคร่าวๆ ราคาสูงแค่ไหนเค้าก็สู้ ขอแค่แนนไปเป็นดีไซเนอร์ให้แบรนด์เค้าก็พอ (เคยเจอตัวจริงมั้ย?) เคยค่ะ เคยไปดู Fashion Show ของเค้าแล้ว 2 ครั้ง แล้วก็ได้นั่งที่ VIP ทุกครั้ง แนนไปเรียกได้ว่ากินเลี้ยงเลยค่ะ(หัวเราะ) โต๊ะจีนจัดเต็มมาก เค้าเลี้ยงเราเหมือนเป็นลูกเค้าจริงๆ อาจจะเป็นเพราะเราอายุเท่ากับลูกชายเค้า ซึ่งคิดดูสิคะ! เค้ากล้าจ้างคนที่อายุเท่าลูกชายเค้ามาเป็นดีไซเนอร์! มันพีคมากจริงๆ!! แต่เรารู้ตัวค่ะว่าวุฒิภาวะเราตอนนั้นยังเด็กมาก เราก็ยังไม่มั่นใจในงานของเรามากพอ บวกกับแนนยังไม่สามารถวางแผนชีวิตของตัวเองได้และการจัดการตัวเองก็ยังไม่ดี ก็เลยขอเค้ากลับมาตั้งหลักก่อน จนถึงวันนี้ก็ยังติดต่อและมีงาน Illus ให้เค้าอยู่เรื่อยๆ แล้วก็คิดว่าจะลองส่งงานไปให้เค้าดูอีกรอบ




สองคนนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ใหญ่มากในชีวิตแนนเลยค่ะ พวกเค้าเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของแนนมาก เพราะบางครั้งที่แนนรู้สึกเหนื่อย ท้อ หรือคิดว่างานของเราไม่ดีพอ เค้าจะเป็นจุดเปลี่ยนทุกครั้งเวลาเราคิดถึงเค้า เพราะเราจะลุกขึ้นมาได้ด้วยเหตุผลที่ว่า “เราต้องดีพอสำหรับเค้า” เพราะเค้าก็คาดหวังในตัวเรา ถ้าเราไม่สามารถทำได้ถึงจุดนั้นเค้าก็ผิดหวังแล้วเราก็คงเสียโอกาสดีๆไปแน่ๆ

นอกจากนี้แนนก็มีงาน Fashion Illustrator ให้กับแบรนด์เสื้อผ้าในอังกฤษ แล้วก็มีที่อิตาลี เป็นแบรนด์ชุดชั้นใน เค้าเชิญให้ไปเป็นดีไซเนอร์เค้าด้วย แต่ไม่มีที่ไหนพีคเท่าที่สิงค์โปแล้วจริงๆค่ะ”


โชคดีที่รู้ตัวเร็วและได้ใช้ชีวิตกับสิ่งที่ตัวเองชอบ แสดงว่าชีวิตตอนเด็กๆน่าจะสนุก...

“สนุกค่ะ แต่จริงๆแล้วเกือบครึ่งชีวิตของแนนใช้ไปกับการเรียนค่ะ ทั้งในและนอกโรงเรียนมากกว่ามาสนุกกับเรื่องแฟชั่นน เพราะแนนเป็นเด็กที่ไม่เก่งเรื่องวิชาการเลยค่ะ อาจจะเป็นเพราะตอนเด็กแนนมีปัญหาเรื่องการพูด เริ่มจากหูของแนนได้ยินไม่เหมือนคนอื่น เวลาได้ยินอะไรมาบางทีแนนจะเข้าใจหรือตีความผิด เหมือนเราได้ยินคำศัพท์ไม่ถูกต้องตั้งแต่เด็กค่ะ ผลก็คือ แนนพูดไม่ชัดหรือบางคำก็พูดไม่ได้เลย ทำให้สะกดไม่ถูก อ่านหนังสือช้า พออ่านหนังสือช้ามันก็เลยทำให้แนน ไม่ชอบเรียนไปด้วย ผลการเรียนแนนก็แย่ลงเรื่อยๆค่ะ ยอมรับว่ามันเป็นปมที่หนักมาก

ช่วง ม.3 จะขึ้น ม.4 ค่ะ ผลการเรียนแนนแย่ลงถึงขั้นจะไม่มีสิทธิ์ได้เรียนต่อ ม.ปลาย คุณแม่ก็ขอให้หยุดเรียนศิลปะทั้งหมดก่อน ตอนนั้นแนนไม่ได้แตะงานแฟชั่นเลย หยุดทุกอย่างเลยจริงๆ มากสุดก็แค่แอบวาดรูปตอนที่อาจารย์สอนในห้องเรียน(หัวเราะ) นั่นคือโอกาสที่จะได้วาดรูป เพราะอยู่บ้านก็ต้องอ่านหนังสือ แนนไม่สามารถทำอย่างอื่นได้เลยเพราะตารางเรียนมันฟิกมากจริงๆค่ะ แต่สุดท้ายมันก็ผ่านมาได้ หลังจากนั้นแนนก็ลุยเรียนศิลปะทุกอย่างเลยค่ะ”

รู้จัก artHOUSE ได้อย่างไร?

“แนนเคยเรียนแฟชั่นมาหลายที่มากๆเลยนะคะ แทบจะเรียนมาแล้วแทบทุกที่ เรียนมาตั้งแต่เด็ก แต่เท่าที่เรียนมาแนนรู้สึกว่าการ Design ของเรายังไม่ดี แล้วก็มีคนมาบอกเราว่าที่ artHOUSE สอน Design ดี ก็เลยมาเรียน




ยอมรับว่าช่วงนั้นรู้สึกเครียดเหมือนกันค่ะ เพราะหลังจากที่เราพักเรื่องศิลปะและแฟชั่นมานานเราก็ได้เริ่มเรียนในสิ่งที่เราอยากเรียนสักที แนนคิดว่าแนนจะเก่ง และทำมันได้อย่างเต็มที่ แต่แนนกลับรู้สึกว่าตัวเองด้อยแบบสุดๆเลย ตอนที่เรียนในคลาสแนนรู้สึกว่าโดนติหนักที่สุด งานแย่ที่สุด ทำงานช้าที่ ที่สำคัญเป็นตัวถ่วงเพื่อนๆที่สุด ก็รู้สึกเสียใจกับตัวเองที่เราทำได้ไม่ได้ดีเท่ากับที่คาดหวังไว้ ตอนนั้นแนนรู้สึกบ้ามากเลยค่ะ กลับมาถึงบ้านก็ทำงาน(แฟชั่น)แบบเต็มที่เลย นั่งทำงานถึงตี 4 ตี 5 แล้วก็ไปเรียนสายตลอด(หัวเราะ) บางครั้งแนนก็เอางานไซส์ A2 เอากระดานวาดรูป เอาสีน้ำ สี Copic ขึ้นมานั่งทำบนโต๊ะในขณะที่เพื่อนๆก็จดที่อาจารย์สอนกัน(หัวเราะ)



แนนรู้ว่าพี่ artHOUSE ทุกคนเต็มที่กับแนนและเพื่อนๆในคลาสมากๆค่ะ แนนคิดว่าเราก็ควรจะเต็มที่กับมันจริงๆเหมือนกัน มันอาจจะผิดที่ผิดเวลาและไม่ควรทำตามนะคะ แต่พอมันถึงจุดนั้นจริงๆ แนนไม่สามารถมานั่งเรียนเหมือนคนอื่นได้แล้วจริงๆ แนนไม่ถนัดวิชาการเลย แนนเลยตัดสินใจเทเลยค่ะ เพราะแนนก็ไม่รู้ว่าในอนาคตแนนจะเอาสูตรตรีโกณมิติไปทำอะไร งั้นเรามาจริงจังกับสิ่งที่เราจะไปดีกว่าและรู้แค่เพียงว่าเราต้องสอบตรงให้ติด ต้องติดให้ได้เท่านั้น เราเลือก(จะเท)แล้ว เราต้องทำให้ได้

ก่อนที่จะมาเรียน artHOUSE ที่อื่นเค้าก็คิดว่าเราเป็นเด็ก แค่วาดได้ ลงสีได้ ออกแบบเป็น และสามารถสอบเข้าได้แค่นั้นก็น่าจะพอ ไม่จำเป็นจะต้องเรียนรู้ในเรื่องกระบวนการของแฟชั่นเยอะขนาดนั้น แต่พี่เอ็ด-พี่บอสสอนหมดเลยค่ะ จัดเต็มมาก และสิ่งที่พวกพี่ให้มามันก็มากพอที่แนนจะนำความรู้ตรงนั้นไปทำงานประกวดได้ ทั้งๆที่อยู่แค่ ม.6 อาจารย์ที่งานประกวดก็ยังอึ้งมากเลยนะคะ หนูยังไม่ขึ้นปีหนึ่ง หนูยังไม่ได้เรียนแฟชั่น(ในความรู้ระดับมหาวิทยาลัย) แล้วหนูไปเอาความรู้พวกนี้มาจากไหนมาทำงานประกวดตรงนี้ได้ แนนเลยรักพี่เอ็ด-พี่บอสมากๆเลย ”


จนสุดท้ายก็สอบติดแฟชั่นทั้งสองที

“ใช่ค่ะ ติดมศว.กับศิลปกร สุดท้ายก็เลือกศิลปกร เพราะว่าก่อนหน้านี้พี่สาวติวศิลปะกับอาจารย์ที่ศิลปกร แล้วแนนก็ไปเรียนบ้าง พอได้เข้าไปเรียนแนนก็เลยอินมากเลยค่ะ แล้วก็รู้สึกว่าอยากเข้าศิลปกรให้ได้ ต้องเข้าไปเป็นลูกศิษย์อาจารย์ศิลป์ให้ได้อะไรประมาณนั้น ซึ่งตอนนที่ผลสอบตรงออกแนนก็คิดหนักมากๆเลยนะคะ เพราะ มศว. ก็อยากเข้ามากๆเหมือนกัน แนนคิดว่าเป็นมหาวทิยาลัยที่เก่งเหมือนกัน แล้วก็เน้นไปทาง Creative wear และก็ดูเน้นในเรื่องของความเป็นไทยด้วย แต่สุดท้ายก็เลือกตามความตั้งใจแรกค่ะคือศิลปกร”


อะไรคือสิ่งที่พาให้แนนมาถึงจุดนี้ได้?

ความพยายามค่ะ แนนรู้สึกว่าเราไม่ได้เก่งกว่าคนอื่น แต่เราให้เวลากับมันมากกว่า อาจจะเป็นเพราะแนนรู้ตัวเร็ว และชัดเจนกับเส้นทางของตัวเองมาก เริ่มศึกษา เริ่มลงมือทำมันเร็ว คนที่เขาเห็นเราเขาอาจจะเห็นว่าเราเก่ง มันก็ใช่ แต่มันอาจจะเป็นเพราะเขาเปรียบเทียบเรากับคนอื่นๆหรือคนที่อายุเท่าๆกันกับเรามากกว่าค่ะ

และการที่เราพยายาม Present ตัวเอง Update ผลงานและ Life Style ของเราอยู่เรื่อยๆ แนนคิดว่าสื่อ Online มีผลกับแนนค่อนข้างมาก เพราะคนอื่นๆก็รู้จักแนนมาจากตรงนี้ และคิดว่าคนส่วนใหญ่ที่ติดตามผลงานก็จะบอกต่อๆกันไปค่ะ





(แนน ในงาน korea fashion week 2016 ณ ประเทศเกาหลี)

แนนเป็นเด็กที่ชัดเจนกับตัวเองและมีโอกาสที่ดีมาก แนนมองอนาคตไว้รึยัง?

ถ้าเรียนจบแฟชั่นที่ศิลปกรแล้ว แนนอยากไปเรียนต่อที่เซนต์มาร์ตินค่ะ อยากไปหาประสบการณ์ ไปเรียนรู้เรื่องการออกแบบ ไปอยู่ในสังคมที่เป็นสังคมแฟชั่นจริงๆ และถ้ามีโอกาสแนนอยากไปเยี่ยมหลุมศพของ McQueen ที่ประเทศสก็อตแลนด์ค่ะ แนนอยากไปขอบคุณเค้าที่ให้แรงบันดาลใจและอะไรหลายๆอย่างให้กับแนน แต่ถ้าแนนจะทำแบรนด์ แนนตั้งใจให้เป็นแบรนด์ที่เราแฮปปี้กับการทำ อย่างที่บอกค่ะ แนนชอบแฟชั่นในเชิงศิลปะ แนนอาจจะทำเป็นแบรนด์ Creative wear ไปเลย แต่จะมีItem ที่ขายได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใส่ได้แบบ Every Day ขนาดนั้นแต่อาจจะเป็นเสื้อ Coat เท่ๆ หรือมี Detail ที่ Creative หรือไม่ก็เป็นเสื้อผ้าที่มัน Creative สุดๆไปเลย

ถ้าถามความคิดของแนน ณ ปัจจุบันนี้ แนนไม่ได้อยากทำงานเพื่อที่จะไปเป็นคนรวยหรือว่าอะไร แค่ได้ทำงานที่ชอบก็น่าพอใจแล้ว อนาคตจะเป็นอย่างไร ก็อยากให้ติดตามกันต่อไปค่ะ

 

“the point of No Return”

การตัดสินใจมาเลือกเรียนด้านนี้คือการตัดสินใจที่มุ่งมั่นและสำคัญมากสำหรับแนนนะคะ

แนนตั้งใจเต็มที่และจะไม่เปลี่ยนใจหรือหันหลังกลับค่ะ

 


 


© Copy Right artHOUSE Institute, All Rights Reserved.

ไม่อนุญาติให้นำบทความไปดัดแปลง, เขียนใหม่, หรือนำไปเผยแพร่ในที่สาธารณะโดยไม่ใส่เครดิตหรือได้รับอนุญาติ


ดู 229 ครั้ง
bottom of page