top of page

เรียนเชิญคนเหงามา "กระทำความหว่อง" Lonesome Painting Workshop



"กระทำความหว่อง" เป็น Workshop เพ้นท์สี Acrylic ในธีมของ "หว่อง" หรือ "หว่อง ก๊า ไหว่ (Wong Kar Wai)" ผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ผลงานของเขารู้จักกันดีในรูปแบบดราม่าเซื่องซึม เหงา เปล่าเปลี่ยว อ้างว้าง แต่สีสันของภาพยนตร์หว่องนั้นกลับมีสีสันฉูดฉาด งดงามราวบทกวี


เราจะชวนมา "กระทำ" อะไรบ้างใน Workshop นี้?

I Lonesome Teatime : จิบชาและฟังเพลง ซึมซับความหว่อง

II Lonesome Sessions : เปิดใจ พูดคุย แชร์เรื่องราวความรัก ที่ทำให้เหงา

III Lonesome Paintings : วาดภาพ Portrait คนรัก(ที่ทำให้เหงา) ระบายความรัก ด้วยสีอะคริลิค


คุณจะได้อะไรจาก Workshop นี้?

- ได้พูดคุยและแชร์เกี่ยวกับหนังของ Wong Kar Wai

- ได้เรียนรู้วิธีผสมสี Acrylic และเทคนิค Painting

- ได้ปลดปล่อย และระบายความในใจ

- ได้เผชิญหน้ากับคนรัก (ที่ทำให้เหงา) ผ่านศิลปะ

- ได้รู้วิธีเปลี่ยนความเหงาให้เป็นพลังบวกของชีวิต

- ได้มีเพื่อนใหม่ที่แชร์ความลับกันได้อย่างปลอดภัย


ใครเป็นคนนำ Workshop นี้?

คนนำ Workshop นี้ไม่ใช่ "หว่อง ก๊า ไหว่" แต่เป็นศิลปินจิตรกรไฟแรงที่น่าจับตามองของปี ผู้หลงรักสีสันของภาพยนตร์ Wong Kar Wai ชื่อว่า "Tel - Jaruwat Normrubporn" วันนี้เราได้สัมภาษณ์ "เตว" เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Workshop ที่กำลังจะจัดขึ้นในปลายเดือนกันยายนนี้ ลองไปอ่านกันดูนะ


ทำไมต้องธีม หว่อง ก๊า ไหว่

หนังของคุณหว่องก๊าไหว่จะมีโมเมนต์ เก๊กๆ เพ้อๆ อารมณ์คนที่เสียใจในความสัมพันธ์ แล้วตัวละครก็เรื่อยเปื่อย เดินตากฝนอะไรแบบนั้น มันเป็นอะไรที่คิดว่าทำแล้วรู้สึกว่า ใช่เลย อยากจะทำแบบนี้ คิดว่าหลายคนก็น่าจะเข้าใจ ความรู้สึกเหล่านี้ คล้ายๆ พวกภาพจำจากหนังหรือเอ็มวี เดินลงทะเลตอนกลางคืน ยืนดูดวงอาทิตย์ตกดินบนดาดฟ้า

หนังเรื่องโปรดของ Wong Kar Wai

My Blueberry Nights (2007) ประทับใจเรื่องนี้ เพราะมันเป็นเรื่องของคนที่ขี้เขินสองคนมารักกัน แต่กว่าจะยอมรับตัวเองได้ นางเอกก็ต้องร่อนเร่เดินทางตามหาความหมายของชีวิตอะไรแบบนั้นก่อนจะตดัสินใจมาเริ่มตน้ความรักกับพระเอกได้ คนที่ไม่ได้เป็นแบบนี้อาจจะพูดว่า มันจะอะไรกันนักกันหนา! เขาไม่เข้าใจเลยว่ามันต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหนเพื่อรวบรวมความกล้าเพื่อเริ่มต้นความสัมพันธ์กับคนที่ตัวเองชอบ แล้วสีหนังและร้านอาหารในเรื่องก็สวยมากๆ


ฉากไหนที่โดนใจ

ทุกฉากที่ถ่ายผ่านกระจกใสแล้วติดพวกตัวหนังสือบนกระจกมาด้วย

ความพิเศษของหนังหว่องกาไว ในสายตาเตว

ตัวละครในหนังมันค่อนข้างเชื่อมโยงกับตัวเตวได้มาก ไม่รู้ว่าคิดเข้าข้างตัวเองเหมือนเวลาที่อ่านคำทำนายแล้วรู้สึกว่าใช่เลย อันนี้ชั้นเลย แม่นมากๆ อะไรทำนองนั้น แต่เวลาตัวละครเค้าไป “กระทำความหว่อง” เตวรู้สึกว่าเข้าใจได้ เอาเลย ทำเลย สนับสนุน มันเหมือนตัวละครมีความล่องลอยทางวิญญาณหรืออะไรสักอย่างแล้วเค้าอยากแสดงมันออกมา



คิดว่าเวลาแบบไหนที่คนเราจะหมดไฟ?

สำหรับเตว เวลาที่ต้องไปทำธุระหลายๆ วันแล้วไม่ได้วาดรูปแบบจริงๆ จังๆ เลย จะรู้สึกหมดไฟไปเรื่อยๆ จะเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวตน ความต้องการในชีวิตอะไรแบบนั้น ชีวิตจะเป๋ เหม่อลอยไปเลย


แรงผลักดันในการทำงานของเตวมีอะไรบ้าง

อารมณ์ที่ชัดเจนจะทำให้เตวนึกออกว่าจะวาดอะไร จะมองเห็นสี เห็นวัตถุ เป็นองค์ประกอบ แล้วทำสเก็ตช์ออกมา เหมือนเป็นบันทึกว่าเรารู้สึกกับสิ่งต่างๆ อย่างไรบ้าง อีกอย่างที่ผลักดันให้เตวทำงานคือเงิน ถ้าเงินถึงก็จะยอมประณีประนอมได้บ้าง



เล่าเรื่องความรักให้ฟังหน่อย

ไม่เคยสมหวังในความรัก เพราะว่าไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง ตอนนี้ดีขึ้นแล้วนะ ไม่ใช่ว่าดูดีขึ้นตามสมัยนิยมแต่ว่ายอมรับตัวเองมากขึ้น แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่สมหวังอยู่ดี เคยถูกวิเคราะห์ว่าเป็นคนกลัวที่จะเริ่มความสัมพันธ์ กลัวว่ามิตรภาพที่มีอยู่จะเปลี่ยนแปลงหรือหายไป คิดว่าน่าจะจริง เป็นพวกละเมอเพ้อพก มโนว่าง่ายๆ พยายามตีความ เชื่อมโยงการกระทำว่าเขากำลังส่งสัญญาณอะไรแน่ๆเลย เป็นหนักมาก เคยฟูมฟายมากๆ เลยนะ หน้าบึ้งทั้งเดือน เหมือนอะไรมันก็ไม่น่าสนใจอีกต่อไปแล้ว เรียนไมรู้เรื่อง อาหารไม่อร่อย อยากอยู่คนเดียวตลอดเวลา เป็นทุกครั้งอกหักเลย ต้องไปเที่ยวคนเดียว เดินหลงไปเรื่อยๆ ไปแล้วจะเป็นว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรเลย ชีวิตมันต้องไปต่อและต้องไปให้ดีด้วย พอทำงานแล้วมันก็ดีขึ้นนะ คือมีอะไรให้โฟกัส รู้วิธีจัดการ รู้วิธีถ่ายทอด เอามันมาสร้างเป็นภาพวาดเลย


Workshop นี้มีอะไรพิเศษบ้าง เกี่ยวกับหว่อง ก๊า ไหว่ อย่างไร

ความพิเศษคือมันเป็นอีกขั้นของ “การเล่าเรื่องส่วนตัวให้เพื่อนฟัง” คือได้ถ่ายทอดเรื่องราวและความรู้สึกผ่านการวาดภาพ บางคนก็วาดอะไรเล่นๆ หรือเขียนอะไรสั้นๆ แต่เวิร์คช็อปนี้จะวาดแบบจริงจังเลย เป็นภาพวาดที่มีคุณค่า อย่างน้อยก็กับผู้วาดเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานของสิ่งที่เรียกว่า "งานศิลปะที่ดี "


คิดว่าคนจะได้อะไรจาก session นี้

มันไม่เชิงว่ามาเรียนกันจริงจังหรืออะไร เตวมองว่าเหมือนเรามานั่งคุยกัน ทำกิจกรรมอะไรด้วยกัน เราแปลกหน้าต่อกันอยู่แล้วจึงไม่มีอะไรต้องปิดบัง จบงานเราก็แยกย้าย เรื่องราวต่างๆ ก็จะเป็นความลับ มีแค่คนในนั้นที่รู้ เตวคิดว่าคนที่เปิดใจ กล้าพูดเรื่องราวของตัวเองออกมา มันเป็นขั้นแรกที่ยืนยันว่า เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เรามีมุมมองไหน เรารู้สึกอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วมันจะช่วยให้เราถ่ายทอดเรื่องราวนั้นออกมาได้ดี เตวไม่รับปาก ไม่รับประกันผลลัพธ์ใดใด เพราะไม่ได้มีจุดประสงค์ให้เกิดการคิดได้ ทำใจได้หรืออะไรทั้งนั้น แค่เป็นอีกกิจกรรมที่มาสร้างสรรค์งานศิลปะจากเรื่องราว จากประสบการณ์ของตัวเอง


 

Credit ภาพ : Wong Kar Wai

© Copyright | artHOUSE Co.,Ltd. All Rights Reserved


ดู 237 ครั้ง
bottom of page