top of page
  • รูปภาพนักเขียนArthouse School

"คนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้" แพร์ สิริพิม พูลสมบัติ ศิษย์เก่า artHOUSE ที่ได้คะแนนสอบตรงสา



"

แพร์ สิริพิม พูลสมบัติ

คนแรกและคนเดียวของศิษย์เก่า artHOUSE ที่ได้คะแนนสอบตรงสาขาแฟชั่น จุฬาฯ

สูงที่สุด 98/100

อดีตนิสิตล่ารางวัลการประกวด และได้ทำงานในองค์กรแฟชั่นชั้นนำของไทย

"

ตอนนี้แพร์ทำงานที่ไหน? มีตำแหน่งหน้าที่ทำอะไร?

"แพร์มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยดีไซเนอร์ค่ะ แล้วก็ดูแลในส่วนของ Pressmedia ให้กับแบรนด์ FLYNOW ที่เป็น Gold label ซึ่งเป็นตัว Fashion on Runway ค่ะ นอกจากนี้ก็ยังมี FLYNOW Black and White ด้วย เนื่องจาก FLYNOW มีการแบ่ง Product line ค่อนข้างเยอะ แต่แพร์จะอยู่ในส่วนที่บอกไปนั่นแหละค่ะ

FLYNOW gold label "

ทำไมต้องเป็น FLYNOW?

"เริ่มต้นมาจากแพร์ได้มีโอกาสเข้ามาฝึกงานที่นี่ก่อนค่ะ เหมือนเรามาฝึกงานแล้วได้มีประสบการณ์ที่นี่

ซึ่งต้องถือว่าแพร์เป็นเด็กที่โชคดีค่ะ ที่มีผู้ใหญ่ที่คอยสนับสนุน โดยเฉพาะพี่เต็ม(อาจารย์ศมิสสร สุทธิสังข์ อาจารย์ประจำภาควิชาแฟชั่นและสิ่งทอ จุฬาฯ) ช่วงที่แพร์มาฝึกงานผู้ใหญ่ก็เห็นว่าแพร์

มีความเข้ากันได้กับแบรนด์ พอเรียนจบพี่เต็มเลยดึงตัวแพร์ให้เข้ามาอยู่ในองค์กร อยู่ที่นี่แพร์รู้สึกว่าเราเป็นตัวของตัวเอง เรารู้สึกเป็นธรรมชาติเราก็เลยเข้ากับตัวองค์กรได้ง่ายมากๆด้วย "



( นอกจากแพร์จะมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยดีไซเนอร์ และดูแลในส่วนของ Pressmedia

ให้กับแบรนด์ FLYNOW แล้ว แพร์ยังมีโอกาสได้ถวายงานให้กับ

พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวลีนารีรัตน์

ในตำแหน่งผู้ช่วย Designer ใน Fashion Show เปิดตัว Collection ส่วนพระองค์

ในนาม SIRIVANNAVARI อีกด้วย)

แพร์จำจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ถนนสายแฟชั่นได้ไหม?

"อืม...มันน่าจะเริ่มจากตอนที่หาที่ติวนะคะ คือเราชอบศิลปะ

แพร์ว่าหลายคนก็คงเริ่มต้นสายแฟชั่นมาจากการที่ตัวเองชอบงานศิลปะ แพร์ก็เป็นคนนึงที่ชอบวาดรูป

ชอบทำงานศิลปะ ชอบมากอะไรที่วาดๆเขียนๆ โดยที่เราก็ไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งเหล่านี้มันจะมาต่อยอดให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ๆในอนาคต แล้วแพร์เป็นคนจุกจิกค่ะ ชอบประดิษฐ์ประดอย เล็กๆน้อยๆ ตัด ปะ ติด สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้แพร์ว่ามันคือ Skill ที่จะส่งเสริมให้มันกลายเป็น Options ของเรานะค่ะ มันจะทำให้เราเป็นคนที่มี Variety ในการทำงานอะไรแบบนั่น"

"แพร์ไม่ได้สนใจแค่งานดีไซน์ อย่างเดียวนะคะ แพร์สนใจหมดเลย นิตยสาร สื่อต่างๆ ทุกอย่างเลยที่เป็นแฟชั่น แพร์ดูได้ไม่เบื่อเลย ดูเทรน ดูทุกอย่างอ่ะ อย่างที่บอกคือมันเป็นธรรมชาติ มันเป็น Inner แบบ Inner มากๆ รู้สึกว่า เห้ย! ตื่นเต้นไปหมด เหมือนกระเทยเพิ่งหัดแต่งหญิงใหม่ๆ ก็จะต้องหาข้อมูลนู่นนี่นั่นอะไรยังไง เหมือนดูได้เรื่อยๆเลย ยาวๆไปเลย อะไรแบบเนี้ย มันไม่ได้รู้สึกว่าเหมือนเวลาที่เราจะต้องดูนะ

เราต้องศึกษานะ ไม่ใช่เลยค่ะ อยู่ดีๆมือมันไปของมันเองเลย ดูนั่นดูนี่ ไปเรื่อย"


"ตอนที่อยู่ ม.ปลายมันมีความรู้สึกเหมือนกระเทยที่กำลังจะเริ่ม เทค ฮอร์โมน อ่ะค่ะ นึกออกป่ะ คือเริ่มเป็นผู้หญิงก็จะมีความแรดนิดนึง(หัวเราะ) มีความ สนอก สนใจดู Magazine ดูโน่นดูนี่อะไรแบบนี้ ก็รู้สึกว่า เห้ย! มันมีงานศิลปะที่มัน Relate กับความเป็นชะนีของเราได้มั้ย แล้วด้วยความที่เป็นเด็ก พอสนใจอะไรมันจะมีการหาข้อมูล เพราะเราตอนนั้นเราก็ไม่มีคนที่มีความรู้ในเรื่องนี้ มาให้คำแนะนำหรือว่าอะไร มันก็จะเริ่มจากอะไรที่ค้นหาด้วยตัวเอง บวกกับที่บ้านแพร์มีธุรกิจเป็นร้าน Tailor เกี่ยวกับตัดสูทด้วย ทำเสื้อผ้าเกี่ยวกับผู้ชายมานานมาก เปิดร้านมากประมาณ สี่สิบกว่าปี ชื่อว่า Bangkok Custom Tailor ค่ะ อยู่ในโรงแรงดุสิตธานี ก็กลายเป็นว่าที่บ้านแพร์มีพื้นฐานเกี่ยวกับการทำเสื้อผ้าด้วย คุณพ่อคุณแม่ก็จะรู้ว่ามันมี Pattern มันมี finishing ยังไง มันมีผ้าแบบไหน เราก็เลยเหมือนได้รับความโชคดีมาจากตรงนั้นด้วยค่ะ ด้วยความที่เราก็จะมีพื้นฐานด้านการทำเสื้อแบบ Basic ที่มันค่อนข้างระเอียดอ่อน และก็เลยซึมซับในเรื่องของ Detail แบบเจาะลึกที่คนเรียนแฟชั่นบางคนอาจจะเข้าไม่ถึง ก็เลยเหมือนความโชคดีที่มันมาเจอกันพอดี แล้วมันก็ส่งเสริมกันแบบลงตัวและมีที่มาที่ไป ด้วยความที่แพร์เป็นผู้หญิงก็เลยอยากเรียนศิลปะที่มันมีความเกี่ยวข้องกับผู้หญิง อะไรที่มัน Basic ที่สุดก็คือเสื้อผ้านี่แหละค่ะมันเห็นชัด ก็เลยหาข้อมูลและพบว่า เห้ย! มันโรงเรียนที่ติวด้านนี้ด้วยนะ มันมีคณะเกี่ยวกับแฟชั่นด้วยนะ แพร์เลยยิ่งสนใจมากขึ้นไปอีก ก็เลยเป็นแรงผลักดันเราเลยว่าเราอยากเรียนอันนี้ เราจะเรียนอันนี้ ก็เลยไปตามดูเลยค่ะต้องเรียนที่ไหนอะไรยังไง

ต้องติวยังไง ก็เลยมาเจอ artHOUSE"

เพราะอะไรแพร์ถึงเลือกเรียนแฟชั่นที่ artHOUSE?

"แพร์จำได้ว่าแพร์ Search หาหลายที่มาก แพร์ก็เข้าไปดูอย่างละเอียดมากทุกที่

แต่แพร์มาสะดุดของ artHOUSE ตรงที่มีรุ่นนึงที่ จุฬาฯรับแค่ 5 คน แล้ว artHOUSE ติดหมดเลย แพร์เลยตัดสินใจเรียนที่นี่เลยค่ะ ตอบโจทย์เราแน่นอน เราต้องไปเรียนที่นี่แล้วเราจะต้องสอบติดก็เลยมาเรียน"

ช่วงที่เรียน artHOUSE เป็นยังไงบ้าง?

"ตอนเรียนแรกๆยอมรับค่ะว่าเรียนไม่รู้เรื่องเลย ไม่เข้าใจ รู้สึกว่ามันยาก (เราไม่ได้มีพื้นฐานมาจากที่บ้านบ้างหรอ?) คือที่บ้านเวลาจะทำชุดขึ้นมาก็ไม่ได้มาเน้นเรื่อง Figure ไงคะ ที่ artHOUSE จะเริ่มต้นคลาส Figure ใช่ไหมคะ คนที่เรียนศิลปะพวก Drawing วาดมือ วาดของ วาดวิวอะไรพวกนี้ เวลาเราวาดมือเรามันก็จะ Free Style สบายๆ อยู่ดีๆมาขึ้น Figure ที่เส้นต้องเป๊ะ มือต้องนิ่ง สัดส่วนต้องพอดีกัน มันจะมีความอึ้งๆอ่ะค่ะ มันคนละสูตรกันเลย ถ้าคนที่ไม่ถนัดหรือถ้าใจไม่รักจริงๆมันเป็นการเริ่มต้นที่ค่อนข้างอึ้งนิดนึงจริงๆนะค่ะ"

"พอเริ่มเรียนลึกลงเรื่อยๆ มันไม่ใช่แค่การวาดยังไงให้สวยแล้วค่ะ เริ่มมีองค์ประกอบอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง เริ่มใช้ความคิด เริ่มมีเหตุต่างๆในการสร้างงานเข้ามาซึ่งมันเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ มันก็ทำให้จากคอร์สแรกที่เพื่อนร่วมคลาสเยอะก็น้อยลงไปเรื่อยๆด้วยเหตุผลต่างๆ แล้วแพร์ก็จัดอยู่ในกลุ่มที่ได้คะแนนน้อยมากเลย เห้ย! ทำไมเราโง่ขนาดนี้ ตอนนั้นก็คิดว่าหรือแฟชั่นมันไม่ใช่เรา แต่อีกใจมันตะโกนบอกเราว่า “เห้ย! แต่ฉันจะเรียนอันนี้นะ” แพร์ก็เลยไม่ท้อ แล้วคิดว่าจะต้องผ่านไปจนถึงคลาสสุดท้าย ไปจนสอบให้ได้ ถึงแม้ว่าคะแนนมันจะน้อยแต่เราก็พยายาม Active ตัวเองขึ้นมา พยายามไปฝึก พยายามทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น"

เครียดมั้ย?

"ไม่เครียดค่ะ แต่ยอมรับว่ารู้สึกกดดันค่ะ แต่แพร์คิดว่าเราต้องให้เวลากับมัน เพราะว่าอยู่ดีๆจะมาเก่งเลย

มันเป็นไปไม่ได้ ต้องให้เวลาต้องทุ่มเท และต้องยอมรับว่าพี่ติวทุกคนคือดีมากจริงๆค่ะ พยายามสอนทุกอย่าง แต่แพร์ว่าในเรื่องงานศิลปะมันเกี่ยวกับเที่ยวบินมากกว่า ความเก่งก็ไม่สู้ความตั้งใจนะคะ ถ้าเราเก่งแต่ว่าเราหยุดแล้วมันก็อาจจะหยุดอยู่แค่นั้น แค่ที่เก่ง แต่คนที่เค้าไม่ได้เก่งมากแต่เค้าตั้งใจ สักวันหนึ่งเค้าก็ต้องเก่งขึ้น และเค้าก็จะหา Character ที่เป็นของเค้าได้ ที่มันดูน่าสนใจมากขึ้น แพร์เลยคิดว่ามีความตั้งใจ พยายามเก็บสิ่งที่พี่ๆเค้าสอนมาปรับ มาฝึก มาพัฒนาตัวเองให้เราเก่งขึ้นเท่ากับเพื่อนๆ อาจจะไม่ต้องเก่ง

เท่าก็ได้แค่ แต่ต้องเก่งขึ้นกว่าที่เราเคยเก่งหรืออย่างน้อยก็ตามเพื่อนๆทัน ไม่เป็นตัวถ่วงเพื่อน"


รู้สึกอย่างไรที่เราเห็นเพื่อนเรียนไม่ไหว แล้วก็ค่อยๆเลิกเรียนไปที่ละคนสองคน เคยคิดไหมว่าสักวันหนึ่งคนต่อไปอาจจะเป็นเราที่จะต้องเลิกเรียน..

"ไม่ค่ะ แพร์ไม่เคยรู้สึกเลยว่าสักวันเราก็ต้องออก เราไม่ได้เป็นคนเก่งค่ะ ไม่ได้อยู่เป็นอันดับ TOP 5 TOP 10 ของรุ่น แต่แพร์รู้สึกว่า แพร์จะต้องเป็นคนนึงที่จะต้องสอบติดเข้าไปแล้วได้เรียนในสิ่งที่แพร์อยากเรียน เราก็จะต้องสู้ให้ได้ มันก็น่าจะมีสิทธิ์แหละรับตั้งสิบกว่าคนอะไรแบบนี้ แต่ดูลาดเลาตอนนั้นคือไม่รอดเลยจริงๆค่ะ(หัวเราะ) แต่เราก็ต้องพยายามสู้ อดทนสุดๆ ยังไงเราก็จะไม่ยอมแพ้ พอมองย้อนกลับไปว่า กว่าเราจะหาตัวเองเจอ กว่าจะชัดเจนกับตัวเอง กว่าจะหาข้อมูลจนรู้ว่ามันมีคณะนี้ด้วยนะที่มันตอบโจทย์เรา เราก็ต้องสู้ต่อไป คือยังไงฉันไม่มีทาง Admission แน่นอน ต้องสอบตรงให้ติดเท่านั้น แพร์เป็นคนที่ตั้งเป้าหมายของตัวเองชัดเจน แล้วก็จะสู้ให้สุดๆเลย คือถ้าไม่ได้ก็จะไม่เสียใจ สู้ไปก่อน ต้องทำให้ได้

"ทำไมคนอื่นทำได้ทำไมเราทำไม่ได้หล่ะ เรามีทุกอย่างเหมือนกันหมด

เค้าเก่ง แล้วเราเก่งไม่ได้หรอ เราต้องพยายามทำให้เก่งได้สิ"

ก็เก็บคำแนะนำของพี่ๆ พี่เอ็ด พี่บอส เป็น Coach ที่ดีมาก เค้าจะมี comment และมี feedback กลับมาถึงเด็กตลอด ทำให้เรารู้ว่าเราต้องปรับปรุงอะไรแล้วก็ปรับคำเหล่านั้นมาใช้กับงานของเรา ด้วยความที่เป็นเด็กด้วยค่ะ เรายังใหม่มาก จุดยืนคือเรายังไม่มีใคร เราไม่รู้จะฟังใคร เราไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ ที่บ้านเราไม่มีใครเรียนแฟชั่นแบบนี้ แต่ว่าพวกพี่เค้าเหมือนหลักให้เรา เค้าเป็นพี่ติวของเรา ดังนั้นเราต้องเชื่อใจเค้า เพราะเค้าอยากให้เราสอบติด เค้าหวังดีกับเรา เค้าแนะนำอะไรมาเราก็พยายามปรับ แล้วพอเราสอบติดเข้าไปเนี่ยเราจะรู้สึกว่าเรารักพี่ติวมากเลยนะ เรารักพี่เอ็ด พี่บอสมากๆ เหมือนเป็นแม่คนต่อมาเลยก็ว่าได้นะคะ นอกจากแม่ที่ทำให้เราเกิดมา มอบชีวิตให้กับเรา ยังมีพวกเค้าที่มอบโอกาสที่ดีให้กับเรา ให้เราได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่ดี

ดังนั้นแพร์เชื่อหมดใจและทำตามเค้าทุกอย่าง แค่นั้นเลยจริงๆค่ะ"


จำได้ว่าแพร์ได้คะแนน 98 เต็ม 100 ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง?

"รู้สึกงงค่ะ เพราะว่าจุฬาฯพอเห็นคะแนนก็ยังไม่รู้ว่าเราจะสอบติดหรือเปล่านะคะ รู้แต่ว่าตอนนั้นแพร์อึ้งไปนานมาก คิดว่าเค้าให้คะแนนผิดหรือเปล่า นั่งนับมือเลยค่ะ 98 99 100 เอ้า! ขาดอีกสองคะแนนเต็มร้อย เห้ย! Surprise มาก!! แล้วก็ตั้งสติค่ะ คืออย่างที่แพร์เคยบอกว่าแพร์ตั้งใจทำไปก่อน ทำให้เต็มที่แล้วไม่ต้องคิดว่าเราจะติดหรือไม่ติด คือเรารู้แค่ว่าเราอยากติดให้ได้ อยากทำให้ได้ มันคือการตั้งเป้าหมายไว้อันดับแรกค่ะ พอผลลัพธ์ออกมาแล้วเราได้คะแนนเยอะ แพร์ว่ามันเหมือนเป็นตรรกะเดียวกันกับการทำดีได้ดีอ่ะ เราไม่รู้หรอกว่าทำดีแล้วมันจะได้ดียังไง เราจะได้ดีอะไรบ้าง มันไม่มีใครรู้เลย รู้แต่ภาพรวมกว้างๆว่าได้ดี เรารู้แค่ว่าเราต้องทำให้ดีที่สุด ผลลัพธ์ของมันก็คือเราได้คะแนนเยอะ แพร์ก็เลยเชื่อว่า การที่เราพยายามทำอะไรสักอย่างหนึ่งเราไม่รู้หรอกว่าเราจะได้ผลลัพธ์ที่ได้มันจะดีแค่ไหน แต่รู้ว่าเราทำให้เต็มที่ และอยากรู้ว่าเต็มที่ของเราเนี่ยเราได้เท่าไหร่ อันนี้แหละมันเป็นผลลัพธ์แรกที่มันมองเห็นได้ชัดเจนมาก มันมีคะแนนออกมาเป็น

ตัวเลข เหมือนมันจับต้องได้ หลังจากนั้นแพร์ก็เชื่อว่าถ้าเราตั้งใจทำอะไรมาก ไม่รู้เลยผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร แต่แพร์คิดเลยค่ะว่ามันต้องดี เพราะเราตั้งใจทำเต็มที่ นั่นก็เป็นเหมือนจุดเริ่มต้น แล้วเวลาทำงานแพร์จะคิดเยอะแล้วแพร์ก็จะรู้สึกว่าต้องตั้งใจ Quality ตรงนี้แพร์นำไม่ใช้ทั้งตอนเรีนและตลอดชีวิต

เหมือนทำอะไรคือต้องตั้งใจ ไม่รู้ว่าได้รางวัลไหม พออาจารย์ให้ส่งก็คือส่งและตั้งใจทำ"

ตอนเรียน จุฬาฯ ก็เป็นนิสิตนักล่ารางวัลด้วย?

"ช่าย ตอนอยู่จุฬาฯค่ะ งานประกวดแรกคืองานที่อาจารย์บังคับ ให้ทุกคนส่งงานประกวดแล้วก็จะมีคะแนนให้ ดังนั้นมันเหมือนเป็นไฟท์บังคับที่ทุกคนจะต้องส่งงานเข้าไป หลังจากนั้นแพร์ก็ได้รางวาลค่ะตอนปีหนึ่ง งานแรกได้ที่หนึ่งเลย เป็นงานของ Grand Sport Young Designer Contest 102010 ได้รับถ้วยพระราชทานของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณวลีนารีรัตน์ ตอนนั้นที่บ้านดีใจมาก โดยเฉพาะคุณพ่อค่ะ ดีใจน้ำตาไหลเลยจริงๆ เราก็เลยรู้สึกว่า เห้ย! เราไม่ได้คิดเลยจริงๆให้ตายเถอะ ว่าส่งครั้งแรกแล้วจะต้องได้รางวัลที่ 1 คงไม่มีใครตั้งเป้าหมายแล้วมันจะดีไปตาม Step แบบนั้นทุกอย่างแน่ๆ (แพร์ดูเป็นคนที่โชคดีมาก ในหลายๆเรื่อง) แพร์ว่าด้วยเรื่องดวงและด้วยเรื่องอะไรหลายๆอย่างมั้งคะ มันก็บอกไม่ได้ว่ายังไง แต่แพร์ตอบได้คำเดียวเลยว่าแพร์ตั้งใจทำ กล้าพูดได้เต็มปาก และทำด้วยใจจริงๆค่ะ แพร์ไม่รู้จะพูดคำไหนที่มันจะสวยได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว(หัวเราะ) ตอนนั้นก็มีรุ่นพี่ที่โตๆส่งมาด้วย แต่เราก็ไม่คิดว่าปีหนึ่งจะได้รางวัล

หลังจากนั้นแพร์ก็ประกวดอีกเรื่อยๆเลยค่ะ เพราะรู้สึกว่ามันมือค่ะ บวกกับการที่เราได้รางวัลแรกแล้วที่บ้านดูพราวมาก อาจารย์ดูดีใจ งั้นแสดงว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นสิ่งที่ดีใช่มั้ยสิ มันดีสิ แพร์ก็เลยสนุกกับการต่อสู้ เป็นคนชอบคิดงานเป็น Concept แล้วทำให้จบไปเป็นจ้อบๆแบบนี้แพร์ Happy มาก แล้วแพร์เป็นคนที่มีเวลาเหลือในการเรียน เลยมีเวลามาทำงานประกวดค่อนข้างเยอะ"





ที่แพร์บอกว่า “มีเวลาเหลือในการเรียน” คำนี้น่าสนใจมาก เพราะปกติจะเห็นเด็กแฟชั่นบ่นว่าไม่มีเวลา จัดการชีวิตไม่ได้ มันเป็นยังไง?

"ใช่ค่ะ มันมีเวลาเหลือจริงๆ แพร์เป็นคนที่ทำ Schedule ให้กับชีวิตตัวเองอยู่ตลอดเวลา ในสมุดของแพร์เนี่ยจะแบ่งเลยว่าเราจะทำอะไร เมื่อไหร่ ยังไง อาทิตย์นี้มีอะไรบ้าง แพร์เป็นคนที่มีตารางเวลาค่ะ เราต้องทำงานนี้ส่งเมื่อไหร่ มี Process ชัดเจนตลอดเวลา แพร์เป็นคนที่เก่งเรื่องการวางแผนชีวิตมาก สามารถมาปรึกษาแพร์เรื่องการวางแผนชีวิตได้ คือทุกอย่างมันจะมี Schedule ของมันอ่ะค่ะ ซึ่งมันก็จะไม่ได้ตายตัวนะคะ มันอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ แพร์คิดว่าการวางแผนถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าเราวางแผนดีชีวิตเราก็จะดี วางแผนกับตัวเองว่ามีงานในมหาวิทยาลัยของอาจารย์ มีงานอะไรบ้าง ส่งเมื่อไหร่ อะไรมาก่อนมาหลัง เอ้า! มีเวลาเหลือหนิ่ ตรงนี้เหลือวันนี้เหลือ ทำไมเราหาอะไรทำ มีงานประกวดนี้หนิ่ เราลองเอาไปใส่ในตารางตรงไหนได้บ้าง เหมือมันเป็นการจัดสรรเวลาให้เหมาะกับการใช้ชีวิตอ่ะค่ะ เพราะด้วยความที่เราเรียนแฟชั่นด้วยเนอะก็ไม่รู้จะไปทำอะไรดี ก็ทำงานประกวดสิอะไรแบบนี้ คือเป็นคนคิดรอบด้าน แพร์เชื่อว่าทุกคนมีเวลาเหลือนะคะ ไม่มีใครที่เรียนจนไม่มีเวลาเหลือไม่มีแน่นอน ทุกคนบ่น โอ้ย!ไม่มีเวลาโน่นนี่นั่นไม่จริงหรอกค่ะ ทุกคนมีเวลาหมด แต่ที่บอกว่าไม่มีเวลา แพร์ว่า คุณไม่มีเวลาให้สำหรับสิ่งที่คุณไม่ให้ความสำคัญ แต่ทุกคนจะมีเวลาเสมอสำหรับสิ่งที่เราให้ความสำคัญ แพร์ว่าหลายคนคิดแบบนี้"


ตั้งแต่เรียนมาจนจบ แล้วก็มาทำงาน งานในวงการแฟชั่นให้อะไรแพร์บ้าง?

"แพร์ว่าให้ในเรื่องของการใช้ชีวิตนะคะ แฟชั่นมันไม่ใช่แค่เสื้อผ้าแบบที่หลายๆคนเข้าใจ แต่มันคือการให้ชีวิตจริง ใช้ยังไงให้เรามีความสุข การใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่เรารัก ใช้ชีวิตกับคนรอบข้างที่เค้าดีกับเรา ใช้ชีวิตกับโอกาสดีๆที่เข้ามาหาเรา แพร์เชื่อว่าหลายคนมีโอกาสดีๆ แต่ใช้โอกาสต้องนั้นยังไงให้มันดีกับชีวิตเรา นั่นก็อยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าเราไม่ดี ต่อให้มีโอกาสที่ดีแค่ไหนเข้ามา เราก็ไม่มีทางเจอในสิ่งที่ดี มันโอกาสตรงนั้นเข้ามาละ เราก็ทำทุกอย่างให้เต็มที่และดีที่สุดและทำด้วยใจ โดยที่ไม่ต้องพยายาม บางครั้งคำว่าดีที่สุดเราก็อาจจะไม่รู้ว่าที่สุดนี่มันต้องเท่าไหร่ แต่แพร์เชื่อว่าถ้าเราทำเต็มที่คนรอบข้างเค้าจะมองเห็นค่ะ

ว่าเราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ประมาณนั้นค่ะ"

 

ในวันที่เราพูดคุยกัน ภาพแพร์ที่นั่งอยู่ตรงหน้าดูไม่เหมือนคนอายุ 24-25 แต่เหมือนผู้ใหญ่ที่ผ่านการทำงานมาแล้วอย่างอย่างโชกโชน ด้วยบุคลิกภาพที่ดีจนน่าประทับใจ ด้วยคำพูดที่ฉะฉาน แววตาที่มุ่งมั่น

และความเป็นธรรมชาติของแพร์ จนเรารู้สึกเหมือนได้รับพลังอะไรบางอย่าง

นอกจากนี้ หลายคนคงเคยได้ยินหรือพูดคำว่า Inner กันอยู่บ่อยๆ แต่ครั้งนี้เรารู้สึกว่า Inner นั้นนับเป็นสิ่งที่สำคัญและมีคุณค่าที่สุดในการทำงาน หรือดำรงชีวิตในแต่ละวัน แพร์ได้ทำให้เราเข้าใจว่า

"เราจะมีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราบรรจงสร้างมันผ่าน Inner เพราะ Inner เป็นสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวเรา และเราจะแสดงมันออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อสิ่งที่เรากำลังทำและ Inner ของเรานั้นตรงกัน"

สุดท้าย แพร์บอกกับเราว่า ถ้าเราตัดเรื่องดวง หรือความโชคดีออกไป ความมุ่งมั่น ตั้งใจ ความเพียรพยายาม และ Inner ของแพร์นี่แหละ ที่ทำให้แพรประสบความสำเร็จ ทั้งในเรื่องการเรียนและชีวิตการทำงาน

.

.

.

และเราหวังว่า พลังที่แพร์ส่งมานี้ จะส่งไปถึงน้องๆที่กำลังเริ่มเดินทางตามความฝัน และคนอื่นๆที่กำลังย่อท้ออยู่กับอุปสรรคที่กำลังผจญอยู่ในตอนนี้ ให้มีกำลังใจและลุกขึ้นมาสร้างสรรค์สิ่งดีๆต่อไปได้ ;)

 

FOLLOW NOW!


ติดตามผลงานออกแบบ (Portfolio) ทั้งหมดของแพร์ได้ที่ : https://www.behance.net/prairie_siripim

..............................................................................................................

AMUNO

© Copy Right artHOUSE Institute, All Rights Reserved.

ไม่อนุญาติให้นำบทความไปดัดแปลง, เขียนใหม่, หรือนำไปเผยแพร่ในที่สาธารณะโดยไม่ใส่เครดิตหรือได้รับอนุญาติ


ดู 306 ครั้ง
bottom of page